ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

คนไร้ราก

๑๔ ก.ค. ๒๕๕๖

 

คนไร้ราก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : ข้อ ๑๓๕๗. เรื่อง “หลวงปู่คนนั้นน่ะ”

(คำถามนะ) หลวงพ่อคะ นี่เป็นคำถามแรก หนูมีเรื่องอยากจะถามหลวงพ่อให้หายสงสัย ตอนนี้หนูยอมรับว่าศรัทธาคนคนนั้นมาก จนมีเรื่องถึงข่าวอื้อฉาวขึ้น จากเมื่อก่อนหนูเคยศึกษาอ่านประวัติของคนคนนี้ว่าท่านปฏิบัติดีมาตลอด จนตอนนี้มีข่าวฉาวออกมา ทำให้ศรัทธาของหนูเริ่มจะหมดและเริ่มผิดหวัง หนูอยากจะรู้ค่ะว่าคนคนนี้ท่านเป็นคนแบบไหนกันแน่ เพื่อความสบายใจของลูก จึงเข้ามาถามค่ะ แล้วถ้าเป็นแบบนี้ ศาสนาจะเสื่อมหรือไม่

ตอบ : คนคนนี้เป็นคนไร้ราก ถ้าคนไร้รากแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพียงแต่ว่าสังคมมันเป็นแบบนี้ สังคมมันเป็นแบบนี้

เพราะว่าสมัยหลวงปู่มั่น สมัยหลวงปู่มั่นท่านออกปฏิบัตินะ หลวงปู่มั่นนี่หลวงปู่เสาร์ไปเอามา แล้วถ้าพูดถึงหลวงปู่มั่น มันก็ต้องเริ่มมาตั้งแต่พระจอมเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ เวลาบวชเข้ามาแล้ว พระจอมเกล้าฯ พยายามจะหาทางออก แล้วเห็นพฤติกรรมของพระที่ปฏิบัติอยู่มันไม่เข้ากับธรรมวินัย ท่านพยายามจะศึกษาแล้วค้นคว้าของท่าน แล้วพยายามปฏิบัติของท่าน

ทีนี้การปฏิบัติของท่าน เพราะเป็นปุถุชน เป็นมนุษย์ด้วยกัน มันก็มีผิดมีถูกเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดานะ พระจอมเกล้าฯ เวลาบวชแล้วไปศึกษาในพระไตรปิฎกแล้ว ก็บวชซ้ำๆ เพราะว่าท่านไปผูกแพอยู่ที่หน้าวัดมหาธาตุ ผูกแพอยู่กลางแม่น้ำ อุทกุกเขปสีมา สีมาน้ำ แล้วบวชมันก็มีความผิดถูกเป็นธรรมดา นี้จะพูดถึงว่าเริ่มตั้งแต่นั่น แล้วก็พยายามศึกษาพยายามค้นคว้ากันมาด้วยความเป็นนักปราชญ์ ด้วยความค้นคว้า ค้นคว้ามาก็สืบต่อกันมาๆ จนมาถึงหลวงปู่เสาร์ เจ้าคุณอุบาลีฯ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น

พอหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์นี่หลวงพ่อพุธท่านเล่าไว้เอง เวลาหลวงปู่เสาร์ออกธุดงค์ มีแม่ชีไปด้วย มีปะขาวไปด้วย เขาเสียดสี เขาเสียดสีว่า “ครอบครัวนี้จะไปไหน” เขาทั้งเสียดสี ทั้งดูถูกทั้งดูแคลน แล้วเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านห่มผ้าสีดำๆ มันก็ตื่นเต้น เราต้องพูดสิว่าผ้าสีกรักๆ สมัยโบราณเขาไม่ได้ห่มกันเลย เขาห่มผ้าสีพื้นๆ ของเขานั่นแหละ ทีนี้พอมีผู้ที่มาค้นคว้า มันก็มีแรงเสียดสีมาก

หลวงตาท่านบอกว่า ในประวัติหลวงปู่มั่นเขียนแค่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์ อีก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ไม่เขียน เขียนแต่แง่บวก แง่บวก หมายถึงว่า ประสบการณ์ความเป็นจริงของหลวงปู่มั่น แต่เวลาหลวงปู่มั่น เขาจะตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดอุบลฯ ท่านก็ไม่ยอมรับ ท่านก็หนี ไปตั้งเป็นเจ้าอาวาสที่ไหนท่านก็หนี เวลาเขาตั้งให้เป็นพระครูที่วัดเจดีย์หลวง เวลาท่านจะออกปฏิบัติท่านบอกว่า พระครูอยู่ที่นี่นะ เราหลวงปู่มั่นจะออกเข้าป่าไป ท่านเสียสละ ท่านไม่แสวงหาเรื่องทางโลก ท่านเสียสละมาตลอด แล้วท่านค้นคว้าของท่านมาตามความเป็นจริงของท่าน

เราจะบอกว่า เพราะมันมีของจริง มันมีความเป็นจริงขึ้นมา สังคมถึงเริ่มซึมซับ สังคมเริ่มซึมซับ ในสังคมจะพูดกันว่า “อย่าปฏิบัตินะ ถ้าปฏิบัติไม่มีครูบาอาจารย์ ระวังบ้านะ” ทุกคนเขาจะตอกย้ำอย่างนั้นเพราะอะไร เพราะก่อนที่จะมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น การประพฤติปฏิบัติมันปฏิบัติกันไปโดยไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ หมายความว่า ความเชื่อ ใครมีฤทธิ์มีเดชอย่างไร ใครทำอย่างไรได้ประโยชน์ เขาก็เชื่อกัน

หลวงตาท่านบอกว่า การขี่เสือ เรื่องไสยศาสตร์ เรื่องเครื่องรางของขลังมันมีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว มันมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยที่มีการรบทัพจับศึก คนเราก็ต้องมีเครื่องรางของขลังเพื่อความมั่นใจ มันมีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วแหละ ฉะนั้น เวลาปฏิบัติมาเขาก็ปฏิบัติกันอย่างนั้นแหละ ทีนี้พอปฏิบัติมา ถ้าคนไม่มีหลักมันก็จะไหล ไหลลงไปสู่ไสยศาสตร์นั้น

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามของท่าน ท่านรื้อค้นของท่าน เราจะบอกว่า คนมีรากไง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านพยายามปฏิบัติของท่าน แล้วหลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านปรารถนาเป็นพุทธภูมิ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ท่านปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

ทีนี้หลวงปู่เสาร์เวลาปฏิบัติไป หลวงปู่มั่นจิตใจท่านมหัศจรรย์มาก เวลาท่านลาพระโพธิสัตว์แล้วท่านปฏิบัติของท่านไป เวลามาถามหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์บอกว่า “เราแก้ไม่ได้หรอก ท่านต้องแก้ตัวท่านเอง” เห็นไหม บารมีของพระโพธิสัตว์กับบารมีของพระปัจเจกพุทธเจ้ามันแตกต่างกัน ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านไป ท่านจะมีความมหัศจรรย์ในจิตของท่าน เพราะท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์

พระโพธิสัตว์ คือหมายความว่า สร้างบุญกุศลมามหาศาล แล้วเวลาสร้างบุญกุศลมามหาศาล มันก็มีสิ่งที่กิเลสในหัวใจมหาศาลเหมือนกัน มหาศาล หมายความว่า ถ้าน้ำแห้ง น้ำน้อย สวะในน้ำก็อยู่แค่นั้นแหละ ถ้าน้ำมาก มันยกสูงขึ้น สวะบนนั้นมันก็สูงขึ้น คนมีบารมีมาก กิเลสในหัวใจมันก็เพิ่มตามอำนาจวาสนาบารมีไป คนบารมีน้อย น้ำน้อย กิเลสมันก็อยู่บนน้ำนั้น กิเลสมากกิเลสน้อยมันอยู่ในใจ มันท่วมท้นใจอยู่ทั้งนั้นแหละ ทั้งคนบารมีเล็กน้อย ทั้งคนบารมีมาก กิเลสมันควบคุมหมดล่ะ

ทีนี้พอหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านขนาดนั้น เวลาถ้ามีปัญหาขึ้นมา ท่านไปถามหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์บอกว่า “เราแก้ไม่ได้หรอก ท่านต้องแก้ของท่านเอง” ทีนี้ท่านก็แก้ของท่านเอง แล้วท่านก็พยายามรื้อค้นมากับเจ้าคุณอุบาลีฯ เจ้าคุณอุบาลีฯ ก็ปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์เหมือนกัน

เจ้าคุณอุบาลีฯ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนอุปัฏฐากหลวงปู่มั่นที่วัดเจดีย์หลวง หลวงปู่เจี๊ยะท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่มั่นเวลาท่านแก้เจ้าคุณอุบาลีฯ ที่วัดเจดีย์หลวง อยู่ในโบสถ์ ตัวต่อตัว ล่อกัน นี่พระโพธิสัตว์แก้พระโพธิสัตว์ พุทธภูมิแก้พุทธภูมิ “เกิดตายๆ มันทุกข์นะ เกิดตายๆ มันทุกข์นะ” ด้วยเหตุด้วยผล อัดกันอยู่ที่ในโบสถ์วัดเจดีย์หลวง นี้หลวงปู่เจี๊ยะเล่าให้ฟัง เพราะหลวงปู่เจี๊ยะท่านอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

สิ่งที่แก้ไขกันมา เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ด้วยรากเหง้า ด้วยรากเหง้าของพระพุทธศาสนา ด้วยรากเหง้าของการประพฤติปฏิบัติ ด้วยรากเหง้าไง เพราะมันมีรากเหง้าขึ้นมา พอมีรากเหง้าขึ้นมา สังคมก็มีความเชื่อถือศรัทธา ถ้าสังคมมีความเชื่อถือศรัทธา เพราะมันมีรากเหง้า ถ้ามีรากเหง้า หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น “ต่อไปมันไม่เอาเยี่ยง มันจะเอาอย่าง” คือมันไม่ปฏิบัติ แต่มันอยากมีชื่อเสียง มันอยากดังอยากใหญ่

หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ หลวงตาท่านบอกว่า เพราะหลวงปู่มั่นเวลาท่านเทศน์นะ หลวงตาบอกว่าหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ท่านจะไม่พูดถึงมรรคผลเลย ท่านจะพูดถึงเหตุการปฏิบัติ ท่านจะอธิบายของท่าน หลวงปู่มั่นไม่เคยประกาศว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่พระในลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเชื่อว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ทั้งนั้นเลย เพราะอะไร เพราะเวลาท่านพูด ท่านเห็นของท่านว่าถ้าพูดอะไรไปแล้ว กิเลสมันร้ายนัก กิเลสมันจะเอาสิ่งนี้ไปอ้างอิง ไปอ้างอิง

เวลาท่านพูดไว้ ท่านพูดไว้ ที่มูลนิธิหลวงปู่มั่น มันไม่เอาเยี่ยง มันไม่ปฏิบัติ มันไม่ค้นคว้า มันจะเอาอย่าง คือมันอยากดัง มันอยากดังมันอยากใหญ่ มันอยากอ้างอิง พอมันอยากอ้างอิง เวลาจิตท่านสงบลง ท่านบอกเลย มันมีแต่แซงหน้าแซงหลัง คือเอาคำพูดของท่าน เอาคุณงามความดีของท่านไปอ้างไปอิง เดี๋ยวนี้พระเยอะมาก เป็นลูกหลวงปู่มั่น เป็นหลานหลวงปู่มั่น เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มีอดีตชาติผูกพันกับหลวงปู่มั่น มันผูกพันกันไปหมด

แต่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มนุษย์ที่เวียนตายเวียนเกิดมาไม่มีเวรมีกรรมต่อกัน ไม่มีเลย จิตที่เวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะมันมีเวรมีกรรมต่อกันมาตลอด เพราะอะไร เพราะการเวียนตายเวียนเกิดไม่มีต้นไม่มีปลาย มันเวียนตายเวียนเกิดมามากน้อยขนาดไหน แล้วมันจะไม่มาเกิดเป็นมิตร เป็นเพื่อน เป็นฝูง เป็นอะไร มันไม่มีเลย แต่ภพใดชาติใดเท่านั้นเอง

นี่ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าอ้างในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นญาติกันโดยธรรม เราเป็นญาติกันโดยธรรม เป็นญาติกันเพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกัน พระบวชด้วยกันก็บวชจากอุปัชฌาย์องค์เดียวกัน ก็เป็นพี่เป็นน้องกัน มันมีมาตลอด แต่นี้ไปอ้างไปอิงกันหมด ท่านถึงบอกว่า ต่อไปมันจะแซงหน้าแซงหลัง อ้างแต่ว่าเป็นลูกเป็นหลาน เป็นญาติ

ถ้าเป็น ทำไมไม่ส่งเสริมล่ะ ถ้าเป็น ทำไมไม่ทำตามท่านล่ะ ถ้าเป็น หลวงปู่มั่นท่านไม่เคยออกมาอยู่เมืองเลย หลวงปู่มั่นท่านถือธุดงควัตรตลอดชีวิต ท่านฉันมื้อเดียว จนขนาดหลวงปู่มั่นท่านชราภาพ พระทั้งหมดไปอ้อนวอน บอกว่าชราภาพแล้ว ไม่ต้องบิณฑบาตได้ไหม ขอ ขอหลวงปู่มั่นไม่ต้องบิณฑบาต ชราภาพขนาดนี้แล้ว รักขนาดนี้ อยากถนอมหลวงปู่มั่นไว้เป็นหลักชัย

“ไม่ได้ ไม่ได้”

บิณฑบาตจนบิณฑบาตไม่ไหว เดินไม่ไหว เดินไม่ไหวแล้วทำอย่างไร ขอแค่ปากประตูวัดที่หนองผือ

หลวงตาท่านเล่านะ เวลาหลวงตาท่านเล่า น่าเศร้ามาก น่าเศร้า หมายความว่า ท่านมีหลัก หัวใจท่านเข้มแข็งมาก ทีนี้เพียงแต่ท่านจะต่อสู้กับวัยชราภาพของท่าน ต่อสู้กับโรคชรา ต่อสู้กับร่างกาย มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะโลกมันเป็นแบบนี้ คนเรามีความชราภาพเป็นธรรมดา แม้แต่หัวใจเป็นพระอรหันต์ หัวใจจะมีความสุขรื่นเริงขนาดไหน แต่มันก็ต้องอาศัยร่างกายนี้

ขอนะ มีพระ หลวงตาท่านเล่า อาจารย์กงมาแบ่งเป็นกลุ่มเป็นคณะมา หลวงปู่ฝั้นก็เป็นหมู่เป็นคณะมา ไปอ้อนวอนท่าน ไปขอท่าน บอกว่า ชราภาพแล้ว เฒ่าแล้ว ไม่ต้องบิณฑบาตได้ไหม

“ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้” ท่านก็พยายามของท่าน บิณฑบาตของท่าน

เวลาไม่ได้แล้วก็ครึ่งทาง นัดโยมเขามาครึ่งทาง มาครึ่งทาง สุดท้ายไม่ได้ ไม่ได้ก็ถึงเอาแค่ปากประตูวัด สุดท้ายแล้วบนศาลา บิณฑบาตบนศาลา นี่ท่านทำเป็นแบบอย่างไว้ เราทำกันหรือเปล่า เดี๋ยวนี้นะ จะกินแต่หูฉลาม จะกินแต่อาหารเหลา เป็นอย่างนั้นหรือ

เวลาหลวงปู่กงมาท่านไปเยี่ยมพระวัดหนึ่ง ไปเห็นอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ท่านร้องไห้เลย นี้หมู่คณะท่านเล่าต่อๆ กันมา เพราะหลวงปู่กงมา หลวงตาท่านบอกว่า กงไปกงมา ตรงเปี๊ยะ เวลาไปเห็นพระที่วัดไหนอาหารอุดมสมบูรณ์ อาจารย์กงมาร้องไห้

พระถามว่า “ท่านอาจารย์ร้องไห้ทำไม”

“กรรมฐานมันหมดแล้วล่ะ กรรมฐานมันจะไม่เหลือแล้วล่ะ”

กรรมฐานมันหมดแล้ว เพราะอาหารนั้นเวลากินแล้วมันถูกลิ้น กินแล้วมันอร่อย กินแล้วมันอุดมสมบูรณ์ แต่การภาวนามันเกิดไหม คนภาวนามา เขารู้ว่าการภาวนามันทุกข์ยากแค่ไหน มันจะต้องควบคุมดูแลตัวเองขนาดไหน อาจารย์กงมาไปเห็นแต่อาหารสมบูรณ์ ท่านยังร้องไห้ นี่พูดถึงว่า ถ้าเป็นลูกศิษย์ลูกหาหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ลูกหาหลวงตา ในสายของกรรมฐานทำตัวกันอย่างใด ถ้าคนมีรากมีเหง้านะ มันจะทำตามรากเหง้า เหมือนคนมีชาติมีตระกูล คนมีชาติมีตระกูลมันจะต้องเชื่อปู่ย่าตายายของเรา

ทีนี้ในสมัยปัจจุบันนี้เราก็บอกเลย ปู่ย่าตายายเรามันสมัยโบราณ สมัยนี้โลกเจริญ

แล้วทุกข์มันเจริญไหมล่ะ ถ้าโลกมันเจริญ ธรรมะมันเจริญในใจไหมล่ะ ถ้ามันเจริญในใจ มันถึงเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมาได้อย่างใด เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นมาเพราะมันลืมตัว คนไร้ราก คนไม่มีราก คนไม่มีรากมันถึงเป็นแบบนี้ ฉะนั้น พอเป็นแบบนี้ ถึงว่า คำถามคำแรก ไม่เคยเข้ามาในเว็บไซต์เลย ครั้งนี้ครั้งแรก ครั้งแรกเพราะอะไร ครั้งแรกเพราะผิดหวังใช่ไหม ผิดหวังใช่ไหม เพราะอะไร

เพราะตัวเองคิดเอง ตัวเองคิดเอง เพราะครูบาอาจารย์ของเรามีชื่อเสียงไง มีศักยภาพ คนล้อมหน้าล้อมหลังไง มีทุกอย่างพร้อมไง ไปไหน รถเป็นขบวนๆ ไง ไปไหนไปเครื่องบิน โอ๋ย! ไปรอบโลกไง ไอ้พระที่อยู่ป่าอยู่เขา ไอ้พระที่ประพฤติปฏิบัติ ไอ้พวกนั้นมันขี้ครอก ไอ้พวกนั้นมันไม่มีปัญญา ไม่มีวาสนา ไอ้พวกนั้นมันไม่มีบารมี ไอ้เรามันคนมีบารมีใช่ไหม นี่โลกเป็นใหญ่ คนไร้ราก ไร้รากจากธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไปพอกพูนเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

โมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษ บุรุษที่ไม่มีสติปัญญา มีลาภมีสักการะ อยากมีชื่อเสียง อยากมีลาภ อยากให้คนนับถือ อยากให้คนยอมรับ ยอมจำนน นี่โมฆบุรุษ ไอ้บุรุษหัวโล้น ไม่มีประโยชน์ เพราะเราเชื่อกันไง คำถามคำแรกไง คำถามคำแรกใช่ไหม เมื่อก่อนชอบใช่ไหม ไปไหนนี่ล้อมหน้าล้อมหลังกัน ชอบใช่ไหม

หลวงปู่มั่นบอกว่าอย่าคลุกคลี สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ คนที่เป็นสัปปายะเขาจะหลีกเร้น เขาจะหลบหลีก เขาจะไม่คลุกคลีกัน ถ้ามันยังคลุกคลีสุมหัวกัน อันนั้นมันคืออะไร? นี่คนไร้ราก พอไร้รากขึ้นมา มันก็ไม่มีสิ่งใดจะมาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของเราใช่ไหม

แต่ถ้าคนมีรากมีเหง้า อาจารย์ทำอย่างนั้นไหม ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านเป็นธรรม ท่านทำอย่างนั้นไหม หลวงปู่มั่นท่านทำเป็นแบบอย่างไว้ “มันไม่เอาเยี่ยง มันจะเอาอย่าง” เอาอย่างคืออยากดัง อยากดังอยากใหญ่

หลวงปู่มั่นท่านดังคับฟ้า หลวงปู่มั่นท่านชราภาพ เวลาท่านเทศน์ท่านถามว่า “เราก็ทำประโยชน์กับโลกมาเยอะมากแล้ว มีหมู่คณะคนใดคิดถึงผลงานของเราไหมล่ะ คิดถึงการกระทำของผมไหม”

หลวงตาท่านบอกว่า “คิดอยู่เต็มหัวอก คิดอยู่เต็มหัวอก แต่ตอนนี้งานของตนยังไม่สำเร็จ งานของตนยังมีอยู่”

“ถูกต้องๆ เอางานของตัวให้ได้ก่อน” เอางานของตัวได้ พองานของตัวได้แล้ว เสร็จแล้วพอหลวงปู่มั่นท่านเสียไป หลวงตาท่านอุตส่าห์ ท่านไม่เคยยุ่งกับใคร ปฏิบัติไม่เคยยุ่งกับอะไร ท่านอุตส่าห์ไปเรียนพิมพ์ดีด ท่านบอกไปเรียนพิมพ์ดีดเพื่อจะมาเขียนประวัติหลวงปู่มั่น

พระที่สิ้นจากกิเลสไปแล้ว พระที่เอาตัวรอดไปแล้ว ทำไมต้องไปเรียนพิมพ์ดีด แล้วเรียนพิมพ์ดีด เรียนมาทำไม? ก็เรียนมาเพื่อจะสนองคุณหลวงปู่มั่นไง เรียนมาเพื่อจะสนองบุญคุณของท่าน ท่านได้ทำคุณงามความดีฝากไว้กับโลก

หลวงตาท่านบอกว่า คนไม่รู้เขียนไม่ได้ คนไม่เข้าใจเรื่องธรรมะจะเขียนธรรมะออกมาให้เป็นตามความเป็นจริง เป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่รู้จักรสของเกลือ จะไม่รู้ว่ารสเกลือเป็นอย่างไร คนที่ไม่รู้จักรสอาหาร จะไม่รู้จักรสอาหารเป็นอย่างไร คนไม่เคยได้กินอาหารนั้น แล้วจะมาบอกว่ารสอาหารนั้นเป็นอย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น หลวงตาท่านรู้ของท่านว่าใครเป็นใคร ธรรมเป็นธรรม คนมีรากก็คือคนมีราก คนไร้รากก็คือคนไร้ราก ท่านถึงอุตส่าห์ไปเรียนพิมพ์ดีดๆ ท่านบอกเรียนพิมพ์ดีดมาแล้วก็มาเขียนประวัติหลวงปู่มั่น พอพิมพ์ประวัติหลวงปู่มั่นเสร็จแล้วโยนทิ้งเลย เรียนมาเพื่อเหตุนี้โดยเฉพาะ

ฉะนั้น เวลาบอกว่า หลวงปู่มั่นท่านถามว่า “เราทำประโยชน์ไว้กับโลก มีใครคิดถึงบ้างไหม”

ไอ้คนคิดถึงก็จดจารึกกันไว้ แล้วก็ไปเขียนประวัติกัน นี่คนไร้ราก เขียนประวัติ หลวงปู่มั่นชมว่าคนเขียนนี้เป็นเทวดา หลวงปู่มั่นชมว่าคนเขียนนี้เป็นคนเก่ง หลวงปู่มั่นชมๆ...ไปดูเวอร์ชั่นประวัติหลวงปู่มั่นสิ มันเขียนกันมามันก็แปลกๆ

แต่ประวัติหลวงปู่มั่นโดยการเขียนของหลวงตา เพราะหลวงตาท่านมีราก รากของท่านมันเจริญงอกงามมาจากพระพุทธศาสนา

เวลาท่านเกิดมา ท่านเกิดมาแล้วท่านบวชของท่าน ท่านไปเรียนธรรมะ เรียนบาลี อยากไปสวรรค์ พอไปสวรรค์มันจะดีอย่างนั้น พอศึกษาไป อืม! พรหมมันดีกว่าสวรรค์ อยากจะไปพรหม พอศึกษาไปๆ อืม! นิพพานมันดีกว่าพรหม อยากจะไปนิพพาน นี่รากเหง้ามันมาจากนั่น อ่านพุทธประวัติไปแล้วก็ร้องไห้ สงสารพระพุทธเจ้า สงสารเวลาท่านทำความเพียรของท่าน อ่านประวัติองค์ใดไปท่านก็ซาบซึ้งๆ เห็นไหม มันมีราก มีรากจากพระพุทธศาสนา

แล้วเวลามาปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น “มหา มหาเรียนมาจนถึงเป็นมหานะ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอดมากเลย เราต้องเคารพบูชาไว้ เก็บใส่ลิ้นชักไว้นะ แล้วลั่นกุญแจมันไว้ อย่าให้มันออกมา แล้วปฏิบัติไปๆ ถ้าปฏิบัติไปแล้ว ถึงที่สุดแล้ว ธรรมความเป็นจริงของเรากับธรรมที่ศึกษามาจากขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันจะเป็นอันเดียวกันเลย มันจะเป็นอันเดียวกัน”

ท่านก็ปฏิบัติของท่านล้มลุกคลุกคลานมาตลอด หลวงปู่มั่นท่านปั้นมา ท่านพยายามขวนขวายมา ท่านพยายามส่งเสริมมา นี่คนมีราก มีรากมาจากพระพุทธศาสนา แล้วยังเจริญงอกงาม เพาะขึ้นมาจากต้น จากกรรมฐาน จากต้นจากครอบครัวกรรมฐาน หลวงปู่มั่นรดน้ำพรวนดินจนใจนี้มันงอกงามขึ้นมา มันมีรากมีเหง้ามาไง มันถึงซาบซึ้งบุญคุณ

พอมันซาบซึ้งบุญคุณ เวลาจะเขียนประวัติหลวงปู่มั่น ท่านบอกท่านเขียน ๗๕ เปอร์เซ็นต์ เขียนถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๕ เปอร์เซ็นต์อย่างมาก อย่างมาก หมายถึงว่า เวลาหลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติไป ท่านล้มลุกคลุกคลานอย่างไร แล้วพอหลวงตา หลวงปู่มั่นปั้นมา หลวงตาก็รอยโครอยเกวียนมันจะไปทับรอยเดียวกัน คือในรอยของอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มันจะเป็นร่องรอยเดียวกัน อริยสัจมันมีหนึ่งเดียว ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มาร่องรอยอันนี้ มาจากอริยสัจอย่างนี้ เวลาใจของหลวงปู่มั่น ใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ร่องรอยนี้ ใจของหลวงปู่เสาร์ ใจของหลวงปู่มั่นมันก็มีร่องรอยนี้ พอใจของหลวงตา ใจของครูบาอาจารย์ของเรามันก็มาร่องรอยนี้ ถ้ามาร่องรอยนี้ เวลาจะเขียนประวัติ มันถึงเข้าใจไง นี่ไง รสของธรรมไง

เวลาเขียน เขียนแต่คุณงามความดี เขียนแต่เวลาหลวงปู่มั่นทุกข์ยากอย่างไร ไปอยู่ป่าอยู่เขาอย่างไร ปฏิบัติมาล้มลุกคลุกคลานอย่างไร นี่ประวัติหลวงปู่มั่น แต่หลวงปู่มั่นเวลาโดนเขาเสียดสี ตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดก็ไม่ยอมเป็น ตั้งให้เป็นพระครูก็ไม่เอา ตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์ก็หนี หนีเขาไปหมดเลย

แล้วในการปกครองเขาก็อยากจะให้มีคนดีๆ มาปกครอง อันนี้มันเรื่องโลกนะ เรื่องโลกๆ ก็น่าเห็นใจใช่ไหม ในการปกครองของโลกก็อยากให้ผู้นำเป็นผู้นำที่ดีทั้งนั้นแหละ ถ้าผู้นำที่มีคุณธรรม สังคมนั้นก็ร่มเย็น นั้นเป็นสังคมของโลก

แต่ธรรมะมันเป็นสังคมของธรรม มันเป็นสังคมของวัฏฏะ มันเป็นสังคมตั้งแต่พรหมลงมา เวลาพรหมก็ยังต้องมาฟังธรรมหลวงปู่มั่น เวลาเทวดา อินทร์ พรหม เวลาพวกจิตวิญญาณเวลาตกทุกข์ได้ยากมาเข้าข่ายของหลวงปู่มั่น ให้หลวงปู่มั่นท่านได้ช่วย คนไปตกนรกอเวจี คนไปทุกข์ไปยากมา ก็มาเข้าข่ายหลวงปู่มั่น ให้บอกญาติบอกโยมทีหนึ่งว่าไม่มีบุญกุศล ให้ส่งบุญกุศลมา

หลวงปู่มั่นท่านก็บอกในประวัติหลวงปู่มั่น ก็ไปสืบไปถามว่า เคยมีตระกูลนี้ไหม เคยมีตระกูลนี้ไหม วันเวลามันแตกต่างกันไง บางที่ก็จะบอกใช่ๆๆ พ่อแม่คนนั้นตายไปเป็นอย่างนั้น ชื่อนั้นๆๆ เออ! ท่านก็อุตส่าห์ใช้อุบายไปบอกเขาว่าอย่างนั้นๆ แต่ไปถามเป็นบางที่นะ เขาบอก เออ! เคยมีเมื่อเกือบ ๑๐๐ ปีที่แล้ว แถวนี้มันมีหมู่บ้าน มันมีคนชื่อนั้นๆ อยู่เหมือนกัน เห็นไหม กาลเวลามันไม่เหมือนกัน นี่เวลาท่านรู้เห็น

นี่ไง เวลาเราต้องการคนดีปกครอง มันก็เป็นเรื่องหนึ่งของโลกไง แต่ถ้ามันเป็นเรื่องของธรรม มันเป็นผลของวัฏฏะตั้งแต่เทวดา อินทร์ พรหมมาจนนรกอเวจี เขาก็ต้องอาศัยพระพุทธศาสนา อาศัยธรรม อาศัยคุณงามความดี ฉะนั้น หลวงปู่มั่นท่านมีงานของท่านมหาศาลขนาดนี้ ท่านจะมาเอาเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ จะเอาพระครู เอาอุปัชฌาย์ ไอ้นี่มันเรื่องการปกครองของโลก การปกครองของสงฆ์ การปกครองของโลกนี้

แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านเป็นหลักชัย ท่านเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นที่พึ่งอาศัย สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นครูของเทวดา อินทร์ พรหม เป็นไปหมด นี่คนมีรากเขาไม่ตื่นเต้น ไม่ใช่คนโมฆบุรุษ ไอ้พวกโมฆบุรุษ ไอ้ไม่มีราก ไอ้คนไร้รากมันทำแต่ปัญหา ฉะนั้น ปัญหามันถึงเกิดไง แต่ถ้าเป็นความจริงมันไม่เป็นแบบนี้หรอก ความจริงก็คือความจริง

นี่บอกว่า คำถามคำแรก เพราะไม่รู้มันถึงถามมา พอถามมาแล้วมันเป็นอย่างนี้ไหม “หลวงพ่อคะ นี่เป็นคำถามคำแรก หนูมีเรื่องอยากถามหลวงพ่อให้หายสงสัย ตอนนี้หนูยอมรับว่าเคยศรัทธาคนคนนี้ จนเดี๋ยวนี้มีข่าวฉาวขึ้นมา”

อ้าว! เราศรัทธา เราก็ศรัทธา เพราะว่าศรัทธาเราไม่มีปัญญา ศรัทธากับกระแสสังคม กระแสโลก การศรัทธา ในปัจจุบันนี้ถ้าคนมีหิริมีโอตตัปปะ เขาจะพูดความจริงของเขา คนไม่มีหิริโอตตัปปะ เขาก็เกี่ยว นี่เป็นญาติกับหลวงปู่มั่น เป็นญาติ เป็นกันมาหมดน่ะ

ถ้าเป็นในแง่บวก เป็นแล้วเราก็ซาบซึ้ง เพราะเราเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยกัน ดูสิ ในโลกนี้ ดูชนชาติอื่นเขาก็นับถือศาสนาพุทธเหมือนกัน เขาก็เป็นบริษัท ๔ เหมือนกัน เป็นก็คือเป็น ถ้าเป็นแล้วทำไมต้องไปตื่นเต้นล่ะ ถ้าเขาเป็นแล้วเราไม่ได้เป็นหรือ เราก็เป็นใช่ไหม เราไปศรัทธาเขา เราก็เป็นชาวพุทธเหมือนกัน เราก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเหมือนกัน แล้วไปตื่นเต้นอะไรล่ะ ทำไมต้องไปตื่นเต้นเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้เอง กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อแม้แต่เป็นอาจารย์ของเรา ไม่ให้เชื่อ แล้วนี่หนูศรัทธามากค่ะ หนูเชื่อมากค่ะ หนูก็เจ็บมากหน่อยค่ะ เออ! เจ็บก็คือเจ็บสิคะ แล้วทำไมล่ะ ก็โง่เอง อ้าว! โง่ก็คือโง่ โง่แล้วจะโทษใครล่ะ อ้าว! โง่ก็ต้องโทษตัวเองสิ เพราะตัวเองโง่ไปเอง ถ้ามันศึกษาจริงๆ มันก็ไม่โง่ไง

ครูบาอาจารย์ของเราสอนให้ฉลาดนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หรือหลวงตาท่านสอนให้คนฉลาด ท่านไม่ได้สอนให้คนโง่ ถ้าคนฉลาด เราจะทำอย่างนั้นไหม ถ้าเราเป็นจริง เราทำอย่างนั้นไหม ถ้าเขาทำอย่างนั้น มันต้องไม่จริงใช่ไหม ถ้าไม่จริง เราไปเชื่อเขาทำไม ถ้าเราไม่เชื่อก็จบ

“จากเมื่อก่อนหนูเคยศึกษาประวัติของเขา”

ประวัติใครก็เขียนได้ เดี๋ยวนี้มีคนอยากเขียนประวัติกันทั้งนั้นแหละ แล้วประวัติเขียนมาทำไมล่ะ อ้าว! ก็เรื่องของตัว ตัวเองยังไม่รู้ ไปถามใคร ดูสิ บอก “รู้จักพ่อกูไหม รู้จักพ่อกูไหม”

มึงยังไม่รู้จักพ่อมึงเลย กูจะรู้ได้อย่างไร

อ้าว! เด็กๆ มันถามกันนะ “มึงรู้จักพ่อกูไหม”

แล้วไม่ถามกลับ “มึงไม่รู้จักพ่อมึงหรือ ถ้ามึงไม่รู้จักพ่อมึง มาถามกูทำไม”

นี่ก็เหมือนกัน ประวัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไป แต่ด้วยบุญญาธิการ ด้วยเหตุด้วยผล เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง คำว่า “เจริญ” คนโง่ๆ มันจะจรรโลงศาสนาไม่ได้หรอก ฉะนั้น กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง นี้อยู่ในพระไตรปิฎกเลยล่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้เลยว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง นั้นคือการพยากรณ์มาตั้งแต่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว

ฉะนั้น ๒,๐๐๐ กว่าปีนี้ หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มา ท่านก็ปฏิบัติของท่านมาตลอดเหมือนกัน ทีนี้พอมาเกิดในชาติปัจจุบันนี้ท่านก็มีสติปัญญา เพราะหลวงปู่มั่นท่านบวชตั้งแต่เป็นเณรแล้วสึกไป สึกไป เวลาสึกไป ๒ ปี หลวงปู่เสาร์ท่านก็เพียรนะ เพียรไปธุดงค์แถวนั้น แล้วก็ไปชักนำกลับมาบวชใหม่ พอกลับมาบวชใหม่แล้ว หลวงปู่มั่น ในประวัติหลวงปู่มั่น ตอนเป็นพระหนุ่มๆ ก็ล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน หลวงปู่เสาร์ท่านก็พาออกวิเวก ไปที่ไหนหลวงปู่เสาร์ท่านก็ไปคอยดูแล ก็ดึงออกมาๆ พอดึงออกมา มาประพฤติปฏิบัติของท่าน

เวลามาปฏิบัติของท่าน สิ่งที่ว่ากึ่งพุทธกาล คนที่จรรโลงศาสนามันต้องเป็นคนมีปัญญา คนมีปัญญา ท่านรื้อค้นของท่าน รื้อค้นของท่านนะ เวลารื้อค้นขึ้นมาแล้ว ปฏิบัติไป มันไปไม่ได้ พิจารณากายไปแล้วมันก็ไปไม่ได้ มันเป็นเพราะอะไร มันพิจารณากายออกมาแล้วมันก็เหมือนเดิม นี่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์มันก็เข้าได้แต่ฌานโลกีย์ มันไปไม่ได้ๆ ออกมาแล้วมันตรวจสอบ เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาไปปฏิบัติกับอุทกดาบส อาฬารดาบส ได้สมาบัติ ๖ ได้สมาบัติ ๘ อาฬารดาบสบอกว่าเจ้าชายสิทธัตถะมีความรู้เหมือนเราเลย อ้าว! แล้วคิดดูสิ เราไปศึกษาที่ไหนแล้วอาจารย์ชมเรา เราหางชี้ไหม? หางชี้ทั้งนั้นแหละ เราปฏิบัติที่ไหนอาจารย์ชมนะ โอ้โฮ! หางนี้ชี้ฟ้าเลย เวลาอุทกดาบสชมเจ้าชายสิทธัตถะ บอกว่า “ได้สมาบัติ ๘ เหมือนเรา เป็นศาสดาได้ สอนได้แล้ว” เจ้าชายสิทธัตถะไม่เอา เพราะกิเลสของเรามันคลายตัวออกมาแล้วมันก็ทุกข์เหมือนเดิม ต้องมารื้อค้นของเจ้าชายสิทธัตถะเอง

หลวงปู่มั่น เวลาท่านพิจารณาของท่านไปแล้ว ทีนี้ปล่อยวางขนาดไหนมันก็ไม่ใช่ ปล่อยวาง นี่คนต้องมีวาสนา อย่างของเราปฏิบัติกันอยู่นี่ “ว่างๆ ว่างๆ นี่คืออะไร ว่างๆ นี่นิพพานๆ ใช่ไหมครับ ว่างๆ นี่นิพพาน”

ว่างๆ ก็ขี้ลอยน้ำไง ว่างๆ นั่นน่ะขี้ลอยน้ำ มันจะว่าง มันมีอะไรว่างล่ะ แต่ถ้าคนมีปัญญาขึ้นมา พอมันเป็นอะไรขึ้นมาแล้วมาเทียบไง “เอ๊ะ! ว่างๆ แล้วกูก็ยังทุกข์หรือ เอ๊ะ! ว่างๆ ก็ยังสงสัย ว่างๆ ใจมันก็ยังแย่อยู่ แล้วทำอย่างไรล่ะ” หลวงปู่มั่นท่านถึงว่า “เอ๊ะ! นั่นเป็นเพราะอะไร” เป็นเพราะอะไร ถึงสุดท้ายแล้วท่านลาพุทธภูมิของท่าน แล้วมาพิจารณากาย พอมันทะลุทะลวงเข้าไป “อ๋อ! อันนี้ใช่” เห็นไหม อันที่ใช่กับอันที่ไม่ใช่

เวลาปฏิบัติมามันเป็นมาตลอด มันทำน่าให้หลงนะ น่าให้หลงมากเลย น่าให้หลง น่าให้เป็นไปเลย แต่ทำไมท่านมีสติปัญญา “มันไม่ใช่ๆๆ” แต่พอท่านลาพุทธภูมิแล้วท่านมาปฏิบัติของท่าน ท่านพูดขึ้นมาเลยว่า “อันนี้ใช่ ใช่แล้ว” เพราะอะไร เพราะมันสำรอก มันเริ่มขัดเกลาแล้ว มันเริ่มคายของมัน สำรอกคายออก อันนี้ใช่ พออันนี้ใช่ มันก็สมบุกสมบันเข้าไป

คนที่จะจรรโลงศาสนาต้องเป็นคนที่มีปัญญานะ ไม่ได้ปัญญากับคนอื่นเลย ปัญญากับกิเลสเรา ปัญญากับความหลอกหลอนในใจของเรา ใจของเรา เรามีกิเลสอยู่แล้ว มันจะหลอกหลอนอยู่แล้ว มันจะไหลลงต่ำอยู่แล้ว แต่ถ้าเรามีอำนาจวาสนา มันมีอันนี้มาทบทวน ทบทวนว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ แล้วไม่ใช่ มันก็จะเข้าไป

เห็นไหม คนที่จะเชิดชูจรรโลงศาสนามันต้องเป็นคนมีปัญญา มันไม่ใช่คนไร้รากอย่างนี้ เพราะเราดูข่าวอยู่ เห็นข่าวเหมือนกัน ไร้สาระ มันไม่น่าเชื่อว่าคนน่าจะไปเชื่อได้เลย พฤติกรรมมันก็ไม่ใช่ คำพูดมันขัดแย้งกันไปหมด มันไม่มีอะไร

จะบอกว่า คนที่มีศีล ๘ เขายังไม่ทำอย่างนั้นเลย ศีล ๕ เขาไม่โกหกนะ แค่ศีล ๕ มันยังไม่มี นี่โกหกมดเท็จ พูดจามดเท็จไปหมดเลย แล้วไปเชื่อกันได้อย่างไรล่ะ มันเชื่อกันไปเองไง แล้วจะมาโทษศาสนา โทษกรรมฐาน โทษธรรมยุต โทษพระป่า ไม่ใช่หรอก

โทษคนคนนั้น โทษคนคนนั้น คนคนนั้นคนเลว ไม่ใช่ศาสนาเลว ไม่ใช่วงกรรมฐานของหลวงปู่มั่นเลว ไม่ใช่ คนคนนั้นเลว เพราะคนคนนั้นเลว นี่เขียนประวัติ “หนูเคยอ่านประวัติของท่านมา มันดีมาตลอดเลย จนมามีข่าวฉาว รู้สึกว่าผิดหวัง”

ในวงการทุกวงการ เวลาเขียนประวัติเขาจะเขียนแต่เรื่องดี น้อยคนนัก ถ้าคนเป็นคนซื่อสัตย์ คนซื่อสัตย์ คนต่างๆ เขาจะเขียนเวลาเขาล้มลุกคลุกคลาน แต่ในสังคมเขาจะเขียนในแง่บวกทั้งนั้นแหละ ฉะนั้น ประวัติ ทำไมต้องให้คนเขียน

หลวงตาท่านพูดเอง ประวัติของท่าน ท่านไม่ให้มี ไม่ให้มีหรอก เพราะอะไร ประวัติของเรามันไม่มีความจำเป็น ท่านบอกเลย บอกว่าถ้าใครอยากศึกษา ให้ศึกษาธรรมะของท่าน ธรรมะอันนั้นมันเป็นธรรมะที่ว่าท่านพยายามประพฤติปฏิบัติของท่านขึ้นมา แล้วถ้าเราจะได้ประโยชน์ขึ้นมา เราปฏิบัติธรรมของเรา เราก็จะได้ประโยชน์อันนั้นขึ้นมา

ทำไมต้องไปศึกษาประวัติๆ เพราะอะไรล่ะ เพราะประวัติที่เขียนๆ กันมา เราว่าโกหกเกือบทั้งนั้นแหละ

ยกเว้นแต่ประวัติหลวงปู่มั่น เพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นท่านทำเพื่อประโยชน์ แล้วท่านไม่ได้ทำเพื่อตัวท่านเองเลย แล้วท่านเป็นพระอรหันต์ล่วงไปแล้ว แล้วท่านบอกท่านทำประโยชน์ไว้กับศาสนามาก มีใครคิดถึงไหม หลวงตาบอกว่าท่านคิดถึง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย แต่งานของตัวยังไม่จบ แล้วท่านก็ปฏิบัติของท่านจนงานของท่านจบ จบแล้วท่านถึงมาเขียน

เราถึงบอกว่าพระอรหันต์เขียนถึงประวัติพระอรหันต์มันจะไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศลหรอก มันไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศลเข้าไปเจือปน เว้นไว้แต่คนที่เอาไปเรียบเรียงใหม่ คนที่จะเอาไปดัดแปลงตัดต่อเติมใหม่ อันนั้นอีกเรื่องหนึ่งต่อไปในอนาคต แต่ตอนนี้ นั่นคือประวัติของคุณงามความดี

แต่อันนี้มันไม่ใช่ “หนูเคยศึกษาประวัติของคนคนนี้”

ประวัติ เพราะว่าเขาเริ่มต้นเจตนาไม่บริสุทธิ์มาตั้งแต่ต้น ฉะนั้น การเขียนประวัติ ประวัติเขาก็เขียนเอาเชิดชู แต่เรื่องนี้เราไม่เคยดู ไม่เคยรู้ว่าเขาเขียนกันอย่างไร แล้วไม่เคยเห็นด้วย แล้วไม่สนใจ ไม่สนใจแล้วไม่เคยคิดว่ามันจะมีคุณงามความดีแม้แต่นิดเดียวตั้งแต่ต้นมาแล้ว ไม่เชื่อ ไม่เชื่อสิ่งนี้มาเลย เพราะเจตนา คนถ้ามีคุณงามความดีนะ เขาจะอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา เขาจะอยู่ในความสุขสงบระงับในธรรมของเขา

สุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี จิตถ้าสงบระงับมันจะมีความสุขตั้งแต่เป็นสัมมาสมาธิ แล้วมันก็จะมีความสุขสงบระงับจากที่เกิดมรรคเกิดญาณขึ้นมา เขามีความสุข ความสงบ ความระงับของเขา เขาไม่ออกมาเหมือนหมาบ้าอย่างนี้หรอก เหมือนหมาบ้า ซ่านไปทั่วสังคม ไม่เห็นมี

ถ้าพูดอย่างนี้พูดถึงหลวงตา หลวงตาก่อนที่จะออกมาช่วยชาติ ท่านไม่เคยออกมายุ่งกับใครเลย แต่สุดท้ายแล้วในเมื่อชาติมันมีปัญหาขึ้นมา ท่านถึงสละความสงบของท่าน สละสิ่งที่ท่านอยู่วิเวกของท่านออกมาแบกโลก ออกมาแบกโลก ท่านบอกว่าออกมาแบกโลกแล้วไปเล่นกับขี้ ขี้มันต้องเหม็นเป็นธรรมดา ออกมาแบกโลก มีคนโจมตี มีคนไม่เห็นด้วยว่าท่านออกมาทำ ท่านบอกว่าในเมื่อออกมาแล้ว ออกมาคุ้ยขี้ ออกมาแบกโลก มาคุ้ยขี้ กลิ่นของขี้มันเหม็นอยู่แล้ว ในเมื่อเราจะมาคุ้ยขี้ เราต้องยอมรับกลิ่นเหม็นนั้น ท่านถึงไม่หวั่นไหวกับสิ่งนั้น

ถ้าบอกว่า ออกมาแล้วมันจะเสียหายๆ

ดูสิ หลวงตาท่านออกมามันเสียหายตรงไหน มันช่วยนะ มันไม่ได้ช่วยโลกด้วยข้าวของเงินทอง มันช่วยโลกด้วยธรรมะ ช่วยโลกด้วยธรรมะว่า เวลาคนทุกข์จนเข็ญใจ เวลาคนตกงาน คนที่คนคนเดียวเป็นหลักชัยของครอบครัว คนคนเดียวที่หาเลี้ยงครอบครัว แล้วต้องตกงาน ไม่มีกิน ไม่มีต่างๆ เขาทำร้ายชีวิตของเขา เขาทำลายตัวของเขา หลวงตาท่านออกมาปลุกปลอบหัวใจให้หัวใจมันเข้มแข็ง ให้คนมีน้ำใจต่อกัน ให้คนเจือจานต่อกัน ท่านให้ธรรมอันนั้นเป็นประโยชน์ แล้วไอ้เรื่องข้าวของเงินทองมันมาทีหลัง

คนเราถ้ามีรากนะ ทำสิ่งใด แม้แต่เป็นเรื่องโลกๆ ก็ไม่เสียหาย เรื่องการก่อสร้างนะ ถ้าเรื่องการก่อสร้าง ไอ้การก่อสร้างของเขามันเศษเล็บ การก่อสร้างของหลวงปู่ศรี หลวงปู่ศรีท่านสร้างผาน้ำย้อย มันกี่พันล้าน หลวงปู่ศรีท่านสร้างของท่านไปเบียดเบียนใคร หลวงปู่ศรีสร้างของท่าน สำนักของท่านเป็นร้อยๆ สำนัก แล้วหลวงปู่ศรี ไปดูสิ ที่ผาน้ำย้อย ท่านสร้างวิหารของท่าน ท่านสร้างไว้เพื่อศาสนานะน่ะ ในประเทศไทยมีใครเดือดร้อนบ้าง ในประเทศไทยมีใครเดือดร้อนกับการที่หลวงปู่ศรีท่านสร้างคุณงามความดีของท่าน ท่านสร้างศาสนสถานของท่าน มีใครเดือดร้อนบ้าง? ไม่มี สงบ ร่มเย็น แล้วสิ่งปลูกสร้างนั้นก็สำเร็จสมบูรณ์ ไม่มีใครเดือดร้อนเลย

คนมีราก คนมีรากนะ ทำสิ่งใดไม่เบียดเบียนใคร แล้วเป็นสัมมาทิฏฐิ ความถูกต้องดีงาม คนที่เขามาทำบุญกุศลของเขา เขามาช่วยเหลือเจือจานของเขา สร้าง สร้างที่ผาน้ำย้อย พวกกรมศิลป์ พวกศิลปากรจ้างช่างมาน่ะ ไปดูสิ ไปดูงานประติมากรรมที่ของหลวงปู่ศรี ไปดู ถ้าคนมีรากมันไม่เสียหรอก

นี้เราจะไปโทษว่ามันเป็นเรื่องนั้นๆ...ไม่ใช่หรอก ใจของคนมันชั่ว ถ้าใจมันชั่ว เรื่องธรรมก็ชั่ว ไปเรื่องโลกก็ชั่ว เรื่องสิ่งใดมันก็ชั่ว ถ้าใจมันชั่ว ทำสิ่งใดชั่วไปทั้งนั้น

ถ้าใจมันดี เห็นไหม ถ้าใจมันดี แม้แต่การภาวนา การทำต่างๆ มีการอ่อนน้อมถ่อมตน สร้างแต่คุณงามความดี แม้แต่สร้างศาสนสถานถาวรวัตถุ เป็นพันๆ ล้านนะน่ะ แต่หลวงตาท่านไม่ทำ หลวงตาท่านทำแบบหลวงปู่มั่น ดูสิ อายุ ๙๐ กว่าก็ลงมาฉันที่ศาลาทุกวัน ลงมาฉันนะ ตักอาหารจนมือสั่น ตักอาหารจนตักไม่ไหว ท่านก็ทำเป็นแบบอย่างให้

สิ่งที่หลวงตาทำไว้ ถ้าใครมีหูมีตานะ สิ่งนั้นมันเป็นสิ่งที่มันจะเป็นประโยชน์ ท่านสอนด้วยการกระทำ ท่านสอนด้วยการกระทำ อายุ ๙๐ กว่าก็ยังลงมาฉันมื้อเดียวเป็นปกติ ท่านบิณฑบาตไม่ไหวแล้ว เพราะบิณฑบาตมันเทถ่ายบาตรแล้วมันวิงเวียนศีรษะ ท่านบอกว่ามันวิงเวียน ถ่ายบาตรๆ ไปเดี๋ยวก็ล้ม ถ้าล้มไปมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย ท่านก็รักษาไว้ๆ รักษาไว้เพื่อเรา รักษาไว้เพื่อลูกศิษย์ลูกหา ท่านทำของท่านไว้ นั่นน่ะท่านทำไว้ให้เป็นแบบอย่าง นี่ถ้าเป็นแบบอย่าง

เวลาพูดถึงธรรม ถ้าท่านแสดงธรรมก็เป็นแบบอย่างที่ดีงาม ถ้าใจดี ถ้าแสดงธรรมทางวัตถุ ถ้าใจเป็นธรรม มันก็เป็นสิ่งที่ว่าเป็นความดีงาม คือไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนตนและไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ถ้าใครจะช่วยเหลือเจือจาน ใครจะเสียสละ อย่างเช่นการช่วยชาติ ถ้าใครให้บ่อยๆ ท่านบอกว่า “ที่เราพูดนี้” หลวงตาท่านพูดอย่างนี้นะ “ที่เราพูดนี้เราพูดแต่ผู้ที่มี แล้วเขาตระหนี่ถี่เหนียว เราถึงพูดให้เขาเสียสละ แต่ผู้ที่เสียสละแล้ว แก้วแหวนเงินทองมันหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง มันไม่ใช่หามาง่ายๆ หรอก ให้ทำแต่พอประมาณ ให้ทำแต่พอประมาณ เรานี่นะ ทำความบอบช้ำให้กับลูกศิษย์ลูกหา”

ท่านพูด ท่านทำความบอบช้ำให้กับลูกศิษย์ลูกหา เพราะต้องแสวงหาเงินทองเพื่อมาช่วยเหลือเจือจานโลก ท่านได้ทำความบอบช้ำให้กับลูกศิษย์ลูกหา แต่ความบอบช้ำนี้ถ้าคนมีกำลัง ความบอบช้ำนี้เพื่อกระเทือนกิเลส มันก็เพื่อประโยชน์กับตนเองนั่นแหละ แต่ท่านก็รู้ไง

คนที่มีสติปัญญา ท่านมองตั้งแต่ใจ มองทั้งเรื่องหัวใจ มองทั้งเรื่องวัตถุ มองคนที่มีและคนที่ไม่มี คนที่จิตใจเป็นธรรมนะ คนที่จิตใจดีงาม ท่านมองละเอียดลึกซึ้ง เว้นไว้แต่คนจิตใจมืดบอด เห็นแก่ตัว เอาแต่ผลประโยชน์ เอาแต่ความเอารัดเอาเปรียบ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องใช้ไม่ได้ ฉะนั้น ใช้ไม่ได้ คนที่มีคุณธรรมมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ฉะนั้น มันไม่ใช่เป็นสิ่งที่วิเคราะห์วิจัยกันไป เพราะเรื่องนั้นไม่ใช่หรอก มันเพราะเรื่องใจมันชั่ว เรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีเรื่องสิ่งใดเลย มันเป็นการฉ้อฉลในหัวใจ

“หนูอยากจะรู้ค่ะว่าคนคนนี้ท่านเป็นพระแบบไหน เพื่อความสบายใจของลูก จึงถามมาค่ะ”

ก็เป็นแบบที่เป็นข่าวก็จบแล้ว ข่าวมันก็ชัดเจนขนาดนี้ จะเป็นแบบไหนอีกล่ะ ถ้ามันไม่เป็นมันก็ไม่เป็นข่าว ก็ข่าวมันเป็นอย่างนี้แล้วมันจะเป็นแบบไหนอีกล่ะ มันก็เป็นแบบอย่างที่เป็นข่าวนั่นแหละ ก็จบ

นี่ไง สายบุญสายกรรมเนาะ วัวใครเข้าคอกมัน สมัยพุทธกาลนะ มันก็มีลัทธิศาสนาต่างๆ มหาศาล แล้วก็เวียนตายเวียนเกิดไง พอเวียนตายเวียนเกิดมา มันก็มีความรู้ความเห็นของมัน สิ่งที่ทิฏฐิมานะมันก็เป็นแบบนั้นแหละ

เราไม่เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อะไรเลย มันเป็นอย่างนี้ เราไม่เชื่อมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าคิดไม่ถึงว่ามันจะลงลึกกันขนาดนี้ไง มันจะลงลึกจนสังคมนั้นมันสะเทือนขนาดนี้ มันสะเทือนขนาดนี้

เพราะเราคิดของเราเองนะ เพราะมันมีของจริง เพราะมีหลวงปู่เสาร์ มีหลวงปู่มั่น แล้วมีหลวงตามายืนยัน มายืนยันเรื่องมรรคเรื่องผล ทำให้สังคมมั่นคงในศาสนา แล้วมันก็มีมนุษย์แปลกประหลาดมาแสวงหาประโยชน์กับความเชื่อของคน มันมีมนุษย์แปลกประหลาดมาแสวงหาจากความเชื่อของคน แต่ความเชื่อความมั่นคงอันนี้มันเกิดจากครูบาอาจารย์ของเรายืนยันว่ามันมีมรรคมีผล

ที่สังคมสะเทือนมาก เราคิดว่ามันเป็นเพราะเหตุนี้ เป็นเพราะว่ามีมหาบุรุษ บุรุษอาชาไนย หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราที่เป็นจริง ท่านเป็นบุรุษอาชาไนย ท่านเป็นมหาบุรุษ ท่านได้มาปักหมุดความเชื่อในสังคม แล้วมีมนุษย์แปลกประหลาดมาแสวงหาประโยชน์จากความเชื่อของสังคม

เรามองอย่างนี้ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ของเราปักหมุดให้สังคมเชื่อมั่น ความคดโกง ความหลอกลวงของมนุษย์แปลกประหลาดมันจะไม่ทำได้ลึกซึ้งขนาดนั้น เพราะคนเวลาเขาคิดของเขา เขาก็คิดถึงความมั่นคงจากความเชื่อ จากครูบาอาจารย์ที่ท่านปักไว้ในสังคม แล้วก็คิดว่าพวกบุรุษแปลกประหลาดนี้จะมีความดีงามเหมือนบุรุษอาชาไนยแบบครูบาอาจารย์ของเรา

แต่เขาเป็นมนุษย์แปลกประหลาด เขาเป็นสัตว์มหัศจรรย์ เขาถึงได้ทำลายสังคมได้ขนาดนั้น เขาเป็นมนุษย์ประหลาด เขาเป็นสัตว์มหัศจรรย์ เขาไม่ใช่สัตว์อาชาไนย เขาถึงทำความเสียหายกับสังคมแบบนั้น

นี่พูดถึงว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนั้นไง เพราะเขาเป็นคนไร้ราก เขาเป็นคนไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์กับศาสนา แล้วทำลายหัวใจของสังคม ทำลายหัวใจของสัตว์โลก เอวัง